About

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ศึกชิงเจ้าสำนัก

มองไม่เห็นว่าเป็นอันใด เรียกว่า ไร้รูปไม่ได้ยินว่าเป็นเสียงอันใด เรียกว่า ไร้เสียงสัมผัสไม่ถูก เรียกว่า ไร้ตัวตนสามประการดังกล่าว คือ ความพิสดารแห่งเต๋า ตามหลักการนี้ แม้นกล่าวแยกกันได้ แต่เนื้อแท้เต๋านั้นเป็นหนึ่งเดียว
ส่วนโลกแห่งรูปธรรมนั้นต่างกัน ด้านหนึ่งสว่างอีกด้านหนึ่งก็มืด เช่น ด้านบนสว่าง ด้านล่างมืด
เต๋าแทรกซ่านอยู่ทั่วฟ้าดิน ในจักรวาลก็ดูเหมือนจะมี แต่ยากจะยืนยัน เพราะมันเป็นสิ่งละเอียดมาก แม้นเต๋าจะให้กำเนิดสรรพสิ่ง แต่ก็ดูไม่ออกว่ามันให้กำเนิด นี้ก็คือ รูปที่ไร้รูป ตัวตนที่ไร้ตัวตน

ฉะนั้นบางคนจึงว่า เต๋าเป็นเพียงราง ๆ ไม่แน่นอนจะว่ามีก็ดูคล้ายไม่มี ไฉนเป็นดังนี้เล่า? เพราะถ้าท่านใคร่จะอยู่ข้างหน้าต้อนรับมัน ก็มองไม่เห็นข้างหน้าของมัน ถ้าท่านใคร่จะอยู่ข้างหลังตามหลังมัน ท่านก็มองไม่เห็นหลังของมัน

ฉะนั้น ปราชญ์จึงยึดหลักการของเต๋าที่มีแต่โบราณมาบริหารจัดการทุกสิ่งอย่าง ข้าพเจ้าคิดว่า ผู้ที่รู้จักเต๋า ก็คือคนที่รู้ระบบของเต๋าอย่างดี เพราะระบบของเต๋า ก็คือแก่นแท้ของเต๋า

นั่งสมาธิ มือซ้ายลูบอก มือขวาวางอยู่ข้างหลัง กำหนดลมหายใจ รวบรวมอารมณ์ ทั้งหลายให้สงบนิ่ง เดินลมปราณกำลังภายในที่ได้เคล็ดลับจากคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งฉบับสมบูรณ์  ธาตุอิมและเอี๋ยงในกาย หล่อหลอมกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์  กำลังภายในกลับเพิ่มพูนทวีคูณ แขนขาทุกสัดส่วนปรอดโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูก  พละกำลังทั่วร่าง สมบูรณ์เปี่ยมล้น สมองปราดเปรียวกว่าเดิมมากนัก  โสตประสาท กลับได้ยินเสียงของสิ่งรอบกาย ดุจดังสิ่งของ มีชีวิตชีวา  ที่แท้ในคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง กลับแบ่งออกเป็น สองภาค ภาคแรก คือ เต็ก ภาคสอง คือ เต๋า ภาคเต็กว่าด้วยคุณธรรมในการปกครอง ภาคเต๋า กลับเป็น อภิปรัชญา ซ่อนปริศนา เคล็ดวิชากำลังภายใน  

คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งฉบับสมบูรณ์นี้ จางเหลียง ได้มาจาก ถ้ำน้ำตกนอกเมือง ตามบันทึกบ่งชี้ของผู้เฒ่าเหลือง ภายหลังจาก
เหตุการณ์ที่หานซิ่น ลอด ใต้หว่างขาเหล่าอันธพาล  หลังจากนั้น กลับมาโรงเตี้ยม  ก่อนนอนได้ เดินกำลังภายใน หลายรอบๆ ก่อนจะนอนหลับไป เช้านี้ จางเหลียงวางแผนจักกลับไปที่บ้านที่เซี่ยพี การมาไหวอิง ครั้งนี้ นอกจากได้ คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งฉบับสมบูรณ์  แล้วกลับพบกับ เหตุการณ์ ที่ทำให้ สะดุ้งตกใจ จางเหลียงคำนึง ขึ้น ว่า


บุคคลผู้นี้ แม้ว่าฝึกกำลังภายในชั้นสูง วิชาอาวุธ การใช้กระบี่น่าจะสูงส่ง เช่นกัน กลับอ่อนข้ออดทนอดกลั้นให้กลับเหล่าอันธพาล คราวหน้าถ้าได้พบเจอ เราจักต้องระมัดระวังบุคคลนี้ ให้ดี


ในขณะที่เก็บเสื้อผ้า ข้าวของ เตรียมกลับ เซี่ยพี กลับได้ยิน เสียงพูดคุยกัน ของชาวยุทธ  จางเหลียงไม่คิดจะสนใจ หาความยุ่งยากให้กับตนเอง ในขณะจะออกจากห้อง กลับได้ยินเสียงกล่าวถึง  เม่อซุน และ เม่อซิวซิว






******หมายเหตุ ในยุคสงครามนี้ ลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้  การหยามเกียรติ ด้วยการให้ลอดหว่างขา เป็นการหยามเกียรติ ขั้นร้ายแรงที่สุดของผู้ชายยุคนั้น

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ขอทานแห่งไหวอิง_2

แม้ว่าเมื่อ ฉินซีอ๋องฮ่องเต้  จะทำการรวบรวมแผ่นดินให้เป็น หนึ่งเดียว ด้วยการปกครองที่โหดเหี้ยมทารุณ กลับไม่เป็นที่ยอมรับของปวงชน ปวงชน ยังเรียกตนเองว่า ชาวฉิน ชาวจ้าว ชาวหาน  ชาวเว่ย ชาวฉี ชาวเอี๋ยน และ ชาวฉู่ ความไม่พึงพอใจยิ่งกดทับจิตใจปวงชน

การทำมาหากินยิ่งฝืดเคือง เมืองไหวอิง เป็นเมืองเล็กๆในแคว้นฉู่เดิม เอี๋ยนทง  กลับเป็นหัวหน้าอันธพาลประจำเมือง มีลูกสมุน ถึงสิบกว่าคน  คอย รีดไถชาวบ้าน อีกทางหนึ่งกลับกล่าวว่า เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของชาวบ้าน

วันนี้  เอี๋ยนทง  พร้อมลูกสมุนสิบกว่าคน เดินเข้ากลางเมือง เพื่อเก็บค่าคุ้มครองชาวเมือง

เนื่อง จาก ฉินซีอ๋องฮ่องเต้  ทำการเผาตำรา ฝังบัณฑิต และ ไม่อนุญาต ให้ปวงชน มีโลหะที่สามารถจัดทำอาวุธ ได้ สำนักบู๊ และ สำนักพรต ต่างๆ ต้องปิดลง กลุ่มอันธพาลเหล่านี้ จึงใช้วิชาหมัดมวยเป็นหลัก ในการต่อสู้


จางเหลียง บนห้องพักโรงเตี้ยม กลับแอบชโงกหน้าดูผู้คน ที่เดินทางตามท้องถนน มองเห็น กลุ่มอันธพาล  สิบกว่าคน เดินตาม เอี๋ยนทง มาจากต้นถนน กำลัง จะผ่าน หน้าโรงเตี้ยม  เอี๋ยนทง และ เหล่าสมุน กลับหยุดยืนอยู่หน้า โรงเตี๋ยม

ลูกสมุนที่อยู่ขวามือ กล่าวขึ้นว่า

                               "เอี๋ยนเหลาต้า ดูซิ ใครกำลังมา "

เอี๋ยนเหลาต้า เพ่งตามองไปเบื้องหน้า กลับเห็นชายผู้หนึ่งกำลังเดิมมา ยังโรงเตี้ยม ชายผู้นั้นกลับเป็นหานซิ่น ที่จางเหลียงเคยพบเห็น ที่ริมธาร นอกเมือง วันวาน  แต่วันนี้หานซิ่น แม้จะแต่งตัวมอมแม่ม ดุจดังขอทาน กลับ สะพายกระบี่ ไว้บนบ่า พร้อมกับสะพายห่อผ้า  เดินอาดๆ มายังหน้า โรงเตี้ยม ดูคล้ายจะเดินทางไกล แต่ต้องผ่านหน้าโรงเตี้ยมนี้

เอี๋ยนเหลาต้า กล่าวว่า " พวกเรารอมันอยู่ที่นี้ "

หานซิ่น เมื่อเดินทางมาถึงหน้าโรงเตี้ยม กลับถูกสกัดกั้นด้วย เอี๋ยนเหลาต้า และสมุน

สมุนทั้งสิบกว่าคน ทำการโอบล้อมหานซิ่นเอาไว้ ได้ยิน เอี๋ยนเหลาต้า กล่าวว่า " หานซิ่น เจ้ากล้า บังอาจนัก กลับกล้าสะพายกระบี่ ชักกระบี่ออกมา "


หานซิ่น กลับยืนนิ่งอยู่กับที่


ได้ยินเสียง สมุนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือของหานซิน กล่าวว่า "ถ้าเป็นลูกผู้ชาย รีบชักกระบี่ออกมา ดูซิเจ้าเป็น ยอดฝีมือระดับไหน "

เหล่าอันธพาลทั้งหลาย กลับเปล่งเสียงหัวร่อออกมาพร้อมกัน อย่างครื้นเคร้ง

ได้ยินเสียง สมุนที่ยืนอยู่ด้านขวามือของหานซินกล่าวว่า "หานซิ่น เจ้าช่างทำเสื่อมเสียเกียริติลูกผู้ชาย จริงๆ  เมียตนเองถูกผู้อื่นแย่งชิงไป กลับมีหน้า มายืนอยู่ได้ เจ้าคงจะขายเมียกินซินะ่ "

เหล่าอันธพาลทั้งหลาย กลับเปล่งเสียงหัวร่อออกมาพร้อมกัน อย่างครื้นเคร้ง อีกครั้งหนึ่ง

หน้าของหานซิ่น กระตุกวูบขึ้นครั้งหนึ่ง มือขวาเลื่อนจับด้ามกระบี่ แต่แล้ว หานซิ่นกลับปล่อยมือ พร้อม ประสานมือคารวะต่อ เอี๋ยนเหลาต้า พร้อมกล่าวว่า

"ข้าน้อยหานซิ่น ขอผ่านทาง ข้าน้อยจักไปจากเมืองนี้ "


เอี๋ยนเหลาต้า กล่าวว่า " ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็ได้ แต่เจ้าต้องลอดหว่างขาข้าก่อน "

หานซิ่น มีสีหน้าลังเล

เสียงสมุนอันธพาลรอบข้างเปล่งเสียงว่า

" ก้มลง ทรุดตัวลง ลอดหว่างขา ลอดหว่างขา....ๆ "

หานซิ่นกลับทรุดตัวลง ค่อยๆลอดหว่างขา เอี๋ยนเหลาต้า ลูกสมุนอีกสิบกว่าคน กลับวิ่งไปต่อแถว เอี๋ยนเหลาต้า  หานซิ่น จึงลอดหว่างขา อันธพาลทั้งหมด  แล้ว รีบรุดออกจากเมืองไป



อ่านต่อ ศึกชิงเจ้าสำนัก









วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ขอทานแห่งไหวอิง

สายน้ำไหลอย่างอ่อยอิ่ง ลมพัด เอื่อยๆ ขับขี่ม้าตามทางเดิน ริมลำน้ำ ที่ไกลตา ปรากฏ เมือง ไหวอิงอยู่เบื้องหน้า ตะวันบ่ายคล้อย ท้องเริ่มหิว ม้าที่ขี่คงต้องการน้ำ และหญ้า มองไปเบื้องหน้า เห็นหาดทรายริมน้ำ ชายฝั่งริมน้ำปรากฏหญ้าเขียวขจี เห็นสายน้ำ อดคิดถึงผู้เฒ่าเหลืองไม่ได้ กลับยิ้มกับตนเองไม่ได้ พลางกระตุ้นม้าไปยังริมน้ำ กระโดดลงจากหลังม้า ปล่อยม้าให้ดูดน้ำ


 จางเหลียงกวักน้ำล้างหน้าตา เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จ กวาดสายตาไปตามชายหาด ทางปลายน้ำ หญิงชาวบ้าน สี่ห้าคน กำลังซักเส้อผ้าอยู่ กวาดตาไปริมชายฝั่ง เห็น ต้นไม้ใหญ่ สองสามต้นอยู่ห่างกัน แต่ละต้น ประมาณ ห้าหกวา ที่ให้ร่มไม้ร่มรื่น  จางเหลียงจึงหมายตา  ต้นไม้ใหญ่ต้นแรกเป็นร่มเงา พักผ่อน รับประทานเสบียงกรัง


ขณะนั่งลง จะล้วงสเบียงกรังออกมารับประทาน กลับได้ยินเสียง หญิงชาวบ้านวัยกลางคน กล่าวว่า



"หานซิ่นเอย หานซิ่น เจ้าก็โตเป็นหนุ่มแล้ว เหตุใดเจ้า นั่งงอมืงอเท้า ไม่ทำมาหากิน กลับมาขอข้าว ขออาหาร หญิง รับจ้างซักผ้า อย่างข้ากิน " 

จางเหลียงได้ยินแซ่ ว่า หาน กลับ ชงัก พักหนึ่ง ตั้งใจฟัง  และกวาดตาไปยังต้นเสียงนั้น กลับพบเห็นว่า ในระยะห่างออกไป ใต้ต้นไม้ที่สามนั้น ใต้ต้นไม้ กลับ มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เสื้อผ้า ขาดรุ่งริ่ง ดุจดังขอทาน จางเหลียงครุ่นคิดขึ้นว่า

"หรือคนผู้นี้ เป็นคนแคว้นหานเดิม กลับมาตกระกำลำบากที่นี้ "

พร้อมกับเห็นหญิงกลางคนนั้น ส่งห่อ อาหารให้กับ ชายหนุ่มขอทานนั้น 

จางเหลียงรู้สึกสงสาร เตรียมจะแบ่งอาหารของตนที่มี ให้กับ ชายหนุ่ม ขอทานผู้นี้

กลับได้ยินชายหนุ่มขอทาน นั้น กล่าวตอบว่า 


"ท่านอา  หากวันใดข้าประสบ ความรุ่งเรือง จะตอบแทน ท่านอา เป็น คนแรก"

หญิงชาวบ้านวัยกลางคน กล่าวตอบว่า

" ใคร จะไปสนใจหละ ขอให้เจ้า มีกิน ใน วันนี้ พรุ่งนี้ ก่อนเถอะ"


แต่ จางเหลียง ได้ยินน้ำเสียง ของ ชายหนุ่มขอทาน นั้น กลับ

ตื่นตระหนกยิ่ง

น้ำเสียงของชายหนุ่มขอทาน นั้น กังวาน ทุ้มนุ่มลึกหนักแน่น  เป็น เสียง ของผู้ฝึกกำลังภายในชั้นสูง


จางเหลียงรู้ดังนั้น จึง ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยว รีบรับประทานอาหาร จึงรีบจากไปอย่างเงียบๆ



จางเหลียงรีบรุดเข้าตัวเมืองไหวอิง สืบเสาะหาโรงเตี้ยม พักผ่อน




อ่านต่อ ขอทานแห่งไหวอิง_2






วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

ประกาศิต สำนักเม่อ_2

เสียงแค่นดังเฮ่อ หัวหน้าโจรป่า ที่มีรอยสักบนหน้า ถือทวนยาว โถมแทงเข้าใส่จางเหลียง

ไม้รวกในมือจางเหลียง หวดใส่ คันทวนเสียงดังกังวาน พลังลมปราณอันหนักหน่วงสายหนึ่ง พุ่งกระแทกคันทวนเบี่ยงเบนออกไป จางเหลียงทิ้งไม้รวก สะอึกเข้าชิดหัวหน้าโจรป่า มือขวาคว้าจับคันทวนกระชากอย่างรุนแรง

ร่างนายโจรนั้นสั่นไหวหลายครา แต่ทวนไม่หลุดจากมือ  ยามนั้นเพิ่มพลังใส่มือขวา ตวาด "คลายมือ" เสียงก้องกังวาน นายโจรนั้น พลันมีละอองสีม่วง วูบขึ้นชั้นหนึ่ง แต่หายไปในพริบตาเดียว

พลันจางเหลียงฟาดพลังจากมือซ้ายเข้าใส่ นายโจรนั้น รีบยกมือซ้ายต้านรับ เสียงดังฉาดใหญ่

นายโจรนั้น พลันมีละอองสีม่วง วูบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

จางเหลียงทราบว่า ถ้าตนเองเพิ่มพลังขึ้นอีกในตอนนี้ นายโจรใหญ่ต้องมีละอองสีม่วง วูบอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่สาม  อวัยวะภายใน ต้องบาดเจ็บสาหัสล้มตายอย่างแน่นอน

นายโจรป่านั้น ทุ่มเทกำลังภายใน สุดตัว ยังคงไม่สามารถส่งกำลังภายในเข้าสู่ทวนได้ สักน้อยนิด  จึงคลายมือจากทวนออก กระโดดปราดออกไป

ละอายจึงสีหน้าแดงคล้ำ กล่าวเสียงกังวานว่า

"ขอเรียนถามชื่อแซ่ที่ยิ่งใหญ่ ของพี่ท่านที่นับถือ "

จางเหลียงกล่าวตอบว่า

" อัน ชื่อแซ่ที่ยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้า นั้นไม่มี "


หัวหน้าโจรป่านั้น กลับ สำรวจจางเหลียง อีกครั้ง เห็น ชายผู้นี้ รูปร่างสัดทัด ประกายตาเจิดจ้า หน้าตาดังปราชญืผู้คง แก่เรียน แต่งตัวด้วยผ้าฝ้ายดุจชาวนา ธรรมดา กลับมีกำลังภายในลึกล้ำสุดหยั่งคาด

จึงกล่าวไปว่า

"พลังฝีมือของท่านเป็นที่แตกตื่น  สะท้านฟ้าดิน ข้าพเจ้า หลี่อิงปู้ นับถือยิ่ง อีกสิบปีให้หลัง จะมารับการสั่งสอนใหม่ จึงใคร่ เรียนถามชื่อแซ่ที่ยิ่งใหญ่ของพี่ท่านอีกครั้งหนึ่ง"

จบคำประสานมือคารวะ

จางเหลียง ก็ คารวะตอบ  กล่าวว่า

"ข้าพเจ้าจางเหลียง สิบปีให้หลังพวกเราค่อยมาพบกันที่นี้อีก"

พลันในกลุ่มโจร กลับร้องเสียงอื้ออึงขึ้น และ ด้านหลัง ได้ยินเสียงชายหญิง อุทานดัง  "เอ๊ะ"


หลี่อิงปู้ กลับกล่าวด้วยเสียงตระหนกว่า

" ท่าน ...ท่านคือ จางเหลียง ที่ลอบปลงพระชนม์ องค์ฉินซีฮ่องเต้ "


จางเหลียงรับคำ

 "ใช่ ข้าพเจ้าเอง"


"ข้าพเจ้า หลี่อิงปู้ มีตาหามีแววไม่ กลับกล้าต่อสู้ กับผู้กล้าผดุงคุณธรรม เรื่องในวันนี้ แล้วกันไปเถอะ  ข้าพเจ้าขอลา "

จบคำ ประสานมือคารวะอีกครั้ง พร้อมกับกระโดดขึ้นหลังม้า ควบขับจากไป เหล่าสมุนโจรป่าย่อมกรูกันติดตามไล่หลังไป

จางเหลียงหันหน้ากลับไปด้านหลัง กลับพบว่า ชายหนุ่มนั้น ประคองหญิงสาวเอาไว้  แล้วพาหญิงสาวนั้น นั่ง พักพิงหลังใต้ต้นไม้ แล้วจึงเดินเข้าหา ประสานมือคารวะจางเหลียงกล่าวว่า

"ข้าพเจ้า เม่อซุน และ พี่สาว เม่อซิวซิว แห่ง สำนักเม่อ เซี่ยพี คาราวะ ท่านผู้มีพระคุณ ผู้กล้าผดุงคุณธรรมจางเหลียง"

จางเหลียงประสานมือ คารวะตอบ

"พี่สาวท่าน ได้รับบาดเจ็บไม่สาหัสใช่หรือไม่ "


เม่อซุนกล่าวว่า "นั่งพักผ่อนเดินลมปราณ ครู่ใหญ่ พร้อมกินยา ประจำสำนัก ก็จะฟื้นฟูกำลังได้ "


จางเหลียงมองไปที่เม่อซิวซิว เห็น นาง นั่งขัดสมาธิเดินลมปราณอยู่ใต้ต้นไม้

จางเหลียงจึงกล่าวกับเม่อซุนว่า

"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปดูชายที่นอนอยู่กับพื้นกัน"

จางเหลียงจึงเดินเข้าไปยังชายที่นอนอยู่กับพื้น ย่อกายลง มือ อังที่ปลายจมูก หูแนบหน้าอก

แล้วจึงกล่าว

"เขายังไม่ตาย"

เมอซุนรีบประคองชายคนนั้นลุกนั่ง จางเหลียงทาบฝ่ามือขวา เข้าด้านหลัง ถ่ายทอดกำลังภายในเข้าสู่ร่างกาย  สักครู่หนึ่งชายคนนี้ กลับกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง อุทานออกมาดังอ่า เม่อซุน รีบล่วงมือเข้าไปในอกเสื้อ แกะห่อยาออก ป้อนยาหนึ่งเม็ด ให้กับชายผู้นี้ สักครู่หนึ่ง ชายผู้นี้ กลับลืมตาขึ้น หน้าแดงขึ้น จางเหลียง จึงถอนมือออกจากหลัง

ชายผู้นี้รีบนั่งขัดสมาธิ เดินลมปราณ พักรักษาตัว

ในระหว่างชายหนุ่มคนหนึ่ง และ เม่อซิวซิว นั่งพักรักษา ตัว เม่อซุน ก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตนเองและพี่สาว เป็นศิษย์ สำนักเม่อ เดินทางไปยังสำนักเม่อที่ แคว้นฉินเดิม และแคว้นฉีเดิม เพื่อเกลี่ยกล่อมให้ยุบรวม กันเป็นสำนักเดียว ที่มีทิศทางเดียวกัน แม้ว่าจะยังไม่สำเร็จ แต่ก็เป็นการเริ่มต้น ที่ดี ในระหว่างเดินทางกลับเซี่ยพี่ กลับผ่านเข้าเขตไหวอิง กลับพบกลุ่มโจรป่า หลี่อิงปู้ กำลังล้อมปล้นสดมภ์ชายที่นั่งรักษาตัวผู้นี้  จึงกระโดดเข้าช่วยเหลือ ชายคนนี้ กลับถูกฝ่ามือรัศมีม่วงของหลี่อิงปู้ล้มลง

เหตุการณ์ หลังจากนั้น ก็เป็นเหตุการณ์ที่จางเหลียงมาประสบพบเหตุเข้า

สักพักใหญ่ เม่อซิวซิว กลับลุกขึ้น เดิน มายังทั้งสอง พร้อมย่อกาย คารวะต่อจางเหลียง



" เม่อซิวซิว แห่ง สำนักเม่อ เซี่ยพี คาราวะ ท่านผู้มีพระคุณ ผู้กล้าผดุงคุณธรรมจางเหลียง"

จางเหลียงกล่าวว่า  "มิกล้า มิกล้า"

พร้อมประสานมือ คารวะตอบ

พร้อมกันนั้น ชายที่ได้รับบาดเจ็บ กลับลืมตาขึ้น พร้อมกลับลุกขึ้นยืน

จางเหลียง เม่อซุน และ เม่อซิวซิว กลับ เดินเข้าหา ชายผู้นั้น

ชายผู้นี้รีบ ประสานมือคารวะต่อ บุคคลทั้งสาม พร้อมกล่าวว่า

" ข้าพเจ้า เซี่ยโหวอิง แห่งเพ่ยเสี้ยน คาราวะ ท่านผู้มีพระคุณ ทั้งสาม"

ทั้งสามคน ประสานมือ คารวะตอบ เม่อซุน กล่าว่า

 "มิกล้า มิกล้า  ข้าพเจ้า เม่อซุ่น นี่ เม่อซิวซิว พี่สาวข้าพเจ้า  และนี่ ผู้กล้าผดุงคุณธรรมจางเหลียง"

"เหตุไฉนท่านถึงถูก โจรป่าปล้นชิงได้เล่า" เม่อซุนถามต่อ

เซี่ยโหวอิงกล่าวว่า

"ข้าพเจ้า เดินทางกลับจากเซี่ยพี จะไปเพ่ยเสี้ยน เมื่อมาถึงที่นี้ กลับถูกโจรป่าปล้นชิง "

จางเหลืยงกล่าวว่า

"พวกเรา อยู่ที่นี้นานแล้ว พวกเราไปที่อื่นกันเถอะ "

เม่อซิวซิว กล่าวว่า เสียงสดใสว่า

" ข้าพเจ้าและน้องชาย ใคร่กลับ ไปยังเซี่ยพีโดยเร็ว เพียงแต่พวกเราไม่ทราบจะตอบแทน ท่านผู้มีพระคุณ อย่างไรดี น้องเม่อซุน มอบประกาศิต สำนักเม่อ ให้ ผู้มีพระคุณเถอะ "

เม่อซุน ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ที่ดึงออกมา กลับเป็นแผ่นเหล็กดำประกาศิต สำนักเม่อ พร้อมประคองมอบต่อจางเหลียง เม่อซุนกลัวจางเหลียงไม่รับ รีบกล่าวว่า

"ขอผู้มีพระคุณ อย่าได้รานน้ำใจเราสอง พี่น้อง จงรับไว้เถอะ ถ้ามีโอกาศ เพียงท่าน แสดง ป้ายประกาศิต สำนักเม่อ ท่านสามารถ ขอความช่วยเหลือจากสำนักเม่อได้เต็มที่"

จางเหลียงขณะจะปฏิเสธ กลับ กล่าวไม่ออก  จึงกล่าวว่า

"เมื่อ ท่านสองพี่น้องมีน้ำใจ ข้าพเจ้าจะรับเอาไว้ โอกาศหน้าพวกเราคงได้พบกันอีก "

จางเหลียงจึงรับเอาประกาศิต สำนักเม่อ และสอดเก็บไว้ในอกเสื้อ


เซี่ยโหวอิงพลันกล่าวว่า


"  ท่านผู้มีพระคุณ ทั้งสาม ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดตอบแทน คราหน้าถ้ามีโอกาศ ขอให้ข้าพเจ้า ตอนรับขับสู้ ท่านทั้งสาม ข้าพเจ้าใคร่ออกเดินทางไป เพ่ยเสี้ยน"


ว่าแล้ว เซี่ยโหวอิง พลันประสานมือ คารวะทั้งสามคน  พร้อมหันหลังกลับออกเดินทาง


ทั้งสามคน ประสานมือ คารวะตอบ

หลังจากนั้น เม่อซุ่น และ  เม่อซิวซิว จึงร่ำลา จางเหลียง กลับ เซี่ยพี


หลังจากแยกจากกันทั้งหมดแล้ว จางเหลียงกลับลัดเลาะกลับทางเดิมไปยังที่ซุกซ่อนม้า

อ่านต่อ  ขอทานแห่งไหวอิง



วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

ประกาศิต สำนักเม่อ

ชายหนุ่มทั้งสอง ชักกระบี่ออก แยกย้ายกัน ออกต้านศัตรู กลายเป็น หนึ่งต้านสองศัตรู

ประกายสีเขียวแลบแปลบ กระบี่เหล็กกล้าแทงปราดออกไป จากชาย

หนุ่มคนที่หนึ่ง ด้าน ขวามือ 

ทางด้าน ชายหนุ่มคนที่สองด้านซ้ายมือ กลับเป็นดุจเดียวกัน  

การใช้กระบี่ของทั้งสองกลับเป็นดังเดียวกัน

เห็น ปลายกระบี่ หนุ่มคนที่หนึ่ง ด้าน ขวามือ แทงเข้าใส่ ไหล่ซ้าย ของ โจรป่าคนด้านซ้าย ไม่รอให้ท่ากระบี่ ใช้ถึงที่สุด พลันขยับข้อมือวูบ คมกระบี่ ฟันใส่คอโจรป่าคนด้านขวา 

โจรป่าทั้งสองยกกระบี่ตั้ง ปิดป้องปะทะ  เสียงเคร้งคราสองครั้ง  กระบี่ ทั้งสามเล่มปะทะกัน บังเกิดเป็นเสียงดังอึงอล เสียงสะท้าน ยังไม่ขาดหาย กระบี่ทั้งสามเปล่งประกายแปลบปลาบ  ทั้งสามมีเพลงกระบี่ว่องไวยิ่ง ต่อสู้ชิงชัยกันสุดกำลัง ท่ากระบี่ยิ่งมายิ่งเผ็ดร้อน

ชายหนุ่มผู้นี้ แม้ว่าใช้หนึ่งต้านสอง กลับไม่มีท่าทางว่าจะพ่ายแแพ้ 

พลันยอดฝีมือโจรป่าคนหนึ่ง กลับทิ้งกระบี่ ย่อตัวเล็กน้อย ดีดปราดมา ดังขวับใหญ่ หันมาจู่โจม ด้วยพลังฝ่ามือ ตะบบใส่กลางหลังชายหนุ่มนั้น  ชายหนุ่มผู้นี้ เผชิญศัตรูทั้งหน้าทั้งหลัง สมาธิไม่วอกแวกวุ่นวาย เสือกแทงกระบี่ใส่โจรป่าคนด้านหน้าก่อนหนึ่งกระบี่ คุกคาม มันถอยไปก้าวหนึ่ง จากนั้น ฟันเฉียงใส่โจรป่า ทางด้านหลัง

โจรป่าที่อยู่ด้านหน้า สอึกเข้ามาอีก พร้อมกับแทงกระบี่ปราดเข้ามา 

เสียงเคร้งคราหนึ่ง กระบี่โจรป่าด้านหน้าปะทะกระบี่ชายหนุ่ม ชายหนุ่มรู้สึกสะท้านที่แขน กำลังภายใน ฝ่ายตรงข้ามจู่โจมมาอย่างรุนแรง รีบเกร็งกำลังภายใน วกกระบี่ฟันขวาง

ยามนั้นโจรป่าที่อยู่ด้านหลัง  ฟันสันมือขวา ใส่เท้าซ้าย ของชายหนุ่มหนึ่งฝ่ามือ ถึงกับกระแทกชายหนุ่มนั้น ถอยไปสองก้าว ฝีเท้าซวนเซแทบล้มลง

โจรป่าด้านหน้า วกกายกลางอากาศ กระบี่ยาวโหมจู่โจมใส่ชายหนุ่ม ดุจลมคลุ้มฝนคลั่ง



ได้ยินเสียงเคร้งๆ กระบี่สองเล่มหักโดยพร้อมเพียงกัน 

พร้อมกันนั้นทั้งคู่ซัดปลายกระบี่หักเข้าหากัน

ทั้งคู่ก้มศีรษะย่อตัว กระบี่หักพุ่งเฉียด ศีรษะ โจรป่าด้านหน้า ส่วนชายหนุ่ม กระบี่หักพุ่งตัดมวยผมไป  ผมสยายลง ที่แท้เป็นหญิงสาวสวย แต่งตัวเป็นชาย 

หญิงสาวนั้น เท้าซ้ายรับบาดเจ็บ เคลื่อนไหวไม่สะดวก พอสูญเสียอาวุธ ได้แต่ถูกทำร้ายฝ่ายเดียว

โจรป่าทั้งสองสันดานดุร้ายกำเริบ โหมจู่โจมใส่หญิงสาวสวยนั้น อย่างดุดันอำมหิต  

หญิงสาวสวยนั้น ขาข้างซ้ายกะเพลกข้างหนึ่ง กัดฟันรับมือ กลับถอยทีละก้าว  พลันครางหนัก ๆ ไหล่ขวาถูกโจรป่าด้านหลัง ฟาดใส่หนึ่งฝ่ามือ เสื้อผ้าขาดบริเวณไหล่กับขาดกระจุย แขวนขวากลับยกไม่ขึ้น 
ทั้งยั้งเซถลาล้มก้นกระแทกลง พร้อมกับกระอักโลหิตออกจากปาก 
นั้นแสดงว่าได้รับบอบช้ำภายในสาหัส

ชายหนุ่มที่มาด้วยกันเหลือบมองเห็นเหตุการณ์แต่จนใจ ที่ถูกโจรป่าอีกสองคนนั้นพัวพันเอาไว้ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้

เสียงโจรป่า ที่โจมตีด้านหลังหญิงสาวนั้น กล่าวว่า

"ซือกอ วันนี้ได้เราทั้งเงินทอง สิ่งของ และสาวสวย"

"ซือตี๋ ผู้หญิงต้องมอบเป็นนางบำเรอไต้อ๋อง แล้วค่อยแบ่งต่อมายังพวกเรา "

ทั้งสองหัวเราะฮ่าฮ่าพร้อมกัน พร้อมกับเดินเข้าหาหญิงสาว


จางเหลียงที่ซุ่มดูอยู่บนต้นสน ข้างวงต่อสู้นั้น  ดั้งเดิมคิดจะชมดูความสนุกสนานไม่คิดยุ่งเกี่ยว แต่เมื่อได้ยินโจรป่า ซือกอ และ ซือตี๋กล่าวดังนั้น กลับ เดือดดาลยิ่ง

ทิ้งตัวลงจากต้นสนอย่างผ่าวเบา กระโดดสองครา ถึง โจรป่า ซือกอ และ ซือตี๋ 

ไม้รวกหวดเข้าที่ขาทั้งสองของโจรป่าซือตี๋ เสียงดังกรอบ มือขวาตะปบเข้ากลางหลัง เหวี่ยงกระเด็นออกไปยังกลุ่มโจรป่า หลังจากนั้น ฟาด หนึ่งฝ่ามือใส่ โจรป่า ซือกอ พร้อมกับ ตะปบเข้ากลางหลัง เหวี่ยงกระเด็นออกไปยังกลุ่มโจรป่า  โจรป่าทั้งสองกลับไม่สามารถลุกขึ้นได้ 

พลันจางเหลียงฟาดไม้รวกเข้า ไปในวงต่อสู้ของชายหนุ่มที่เหลือ และโจรป่าอีกสองคน  เค้รงๆ เสียงกระบี่สองเล่มของสองโจรป่าหล่นลง จางเหลียงตะปบ เข้ากลางหลัง โจรป่าทั้งสอง ขณะจะเหวี่ยง ทั้งสองกลับ สองเท้าตรึงไม่เคลื่อนไหว จางเหลียงถึงกลับ ไม่อาจกระชากเหวี่ยงออกไปได้  พลันมือคลายอก เตะกวาด ขาด้านล่างทั้งสองโจร กระเด็นลอยไปในอากาศ  พุ่งละลิ่วเข้าสู่กลุ่มโจรป่า


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นฉับพลันทันด่วน ทุกคนย่อมตกตลึง  โดดเฉพาะหัวหน้าโจรนั้น 

มีสองคนโถมเข้ามาตวาดถาม

"ผู้ใด?"

จางเหลียงไม่สนใจ ตอบโต้ สะบัดสองฝ่ามือออก ฉาดๆ สองคนนั้นไม่ทันเข้าใกล้  ถูกพลังกระแทกกระเด็นเข้าไปในกลุ่มโจร  


อ่านต่อ 

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

กักตน ฝึกปรือ_7

นั่งขัดสมาธิหลับตา มือซ้ายลูบอก มือขวาวางอยู่ข้างหลัง กำหนดลมหายใจ รวบรวมอารมณ์ ทั้งหลายให้สงบนิ่ง แม้อสุนีบาตฟาดทะลาย ธรณีถล่ม ก็มิอาจ รบกวนส่วนประสาทส่วนศีรษะได้เลย เดินลมปราณกำลังภายในที่ได้เคล็ดลับจากคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง  ค่อยๆรวบรวมธาตุอิมและเอี๋ยงในกาย หล่อหลอมกลมกลืน กำลังภายในกลับเพิ่มพูนทวีคูณ แขนขาทุกสัดส่วนปรอดโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูก  พละกำลังทั่วร่าง สมบูรณ์เปี่ยมล้น สมองปราดเปรียวกว่าเดิม เคล็ดลับการเดินลมปราณนี้ กลับเป็นแนวทางเดียวกับลมปราณวิสุทธิมรรค แต่ลึกล้ำอีกขั้นหนึ่ง

ยามนี้สิ้นสุดการเดินลมปราณ เดินออกมานอกกระท่อมที่พัก คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์ช่างงดงามนัก กระโดดปราดขึ้น ตัวกลับลอยสูงขึ้นถึงยอดไผ่ มือขวาพลิกวูบ กลับ เด็ดก้านกิ่งไผ่ออกมา เกร็งลมปราณ ร่างกลับค่อยๆลอยลงสู่พื้น เท้าแตะพื้น แผ่พุ่งกำลังภายในในมือผ่านเข้าสู่กิ่งไผ่อันเรียวเล็ก กิ่งไผ่กลับ เหยียดตรงดุจดังกระบี่  จางเหลียงกลับร่ายรำวิชากระบี่ด้วยกิ่งไผ่ออกมา  เมื่อสิ้นสุดการฝึกลมปราณฝึกกระบี่ กลับเข้าห้อง ศึกษา วิชาพิชัยยุทธ์ จากตำราวิเศษ ไท่กงปิงฝ่า  การกักตน ฝึกปรือตนเองทุกวันนี้ ผ่านมาแล้ว ครึ่งปี  ข่าวคราวของทางการ กลับขาดหายไป

เพื่อที่จะสืบข่าวองค์ฮ่องเต้  จางเหลียง จำต้องออกเดินทางออกจากที่พักหลบภัย เพื่อสืบข่าวต่อไป

สถานที่ที่เราควรจะไป น่าจะเป็นเมืองไหวอิง ทั้งได้สืบข่าวทางการ และค้นหา คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งฉบับสมบูรณ์


จางเหลียงครุ่นคิดในใจ


ครุ่นคิดส่วนครุ่นคิด ม้ากลับพาเข้าเขตเมืองไหวอิงแล้ว 

เบื้องหน้ากลับเป็นแม่น้ำลำธารสายหนึ่ง ม้าเหยาะย่างตามทางเดิน

สัญจรข้างริมน้ำ นำ้ใสไหลผ่านโขดหิน  เสียงดังซ่าๆ เสียงนกน้อย

ร้องอยู่ในต้นไม้ข้างลำธาร ในขณะที่เพลิดเพลินกับธรรมชาติอยู่

ทันใดนั้น ฝูงนกภายในป่า กลับแตกตื่น บินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า 


พริบตารอบตัวจางเหลียงกลับถูกรายล้อมด้วยผู้คน เจ็ดแปดคน


และ ที่ ห่างไกลออกไปได้ยินเสียงตวาด ด่าทอ และ เสียงดาบกระบี่

กระทบกัน


จางเหลียงวันนี้ ไม่ใช่จางเหลียงที่เลือดร้อนดุจกาลก่อน มองดูผู้คนที่

รายล้อม เจ็ดแปดคน ก็ทราบว่า เป็นโจรป่า คิดปล้นชิงคนเดิน ทาง


ทุกคนมีอาวุธติดกาย กลับไม่มีผู้ใดเป็นยอดฝีมือ จางเหลียงกลับยืน

ม้าสงบนิ่ง  โจรป่าทั้งเจ็ดแปดคนกลับชักอาวุธออก ฮือเข้าหา

จางเหลียง  จางเหลียงใช้เท้าทั้งสองกระตุ้นม้า ม้ากลับกระโดดใส่ 

สองโจรด้านหน้า สองมือสบัดกลับด้านหลัง เสียงอาวุธกระแทกกัน 

เกรียวกราวและเสียงผู้คนล้มลง สองโจรด้านหน้ากลับล้มหลบม้าเข้าสองข้างทาง

จางเหลียงเร่งม้า อย่างรวดเร็ว กลับทิ้งห่างหายจากกลุ่มโจรป่า 


แต่เสียงดาบกระบี่กระทบกันเบื้องหน้ากลับดังชัดเจนมากขึ้น หยุดม้า 

แล้วจูงม้าเข้าข้างทาง  ลัดเลาะครู่หนึ่งกลับเป็นลานหญ้า ริมน้ำ

 จึงผูกม้า ให้สามารถเลาะเล็มหญ้า และดื่มน้ำได้ เหลือบมองริมน้ำ

กลับพบไม้รวก ยาวครึึ่งวา จึงหยิบติดมือมา สะพายห่อผ้า แล้วเดิน

ลัดเลาะไปยังต้นเสียง สักครู่ใหญ่กลับพบเห็น


กลุ่มโจรป่าอาวุธครบมือสิบกว่าคน รายล้อม ชายหนุ่มสองคน 

สพายกระบี่ ยืนอยู่ 

กึ่งกลางวง  อีกคนผู้หนึ่งนอนหงาย อยู่ข้างชายทั้งสอง ไม่ทราบว่า

เป็น

หรือตาย กระบี่เล่มหนึ่งหล่นอยู่ข้างกาย


เกร็งลมปราณลงเท้าซ้ายขวา กระโดด ตัวลอยขึ้นซ่อนตัวอยู่บน

ต้นสน กวาดตามองเข้าไปยัง สนามต่อสู้ สามารถมองเห็นสภาพ

การณ์ อย่างชัดเจน


หัวหน้าโจรกลับตัวสูงใหญ่ แข็งแรง ดูสง่าผ่าเผย ดุจดังนายทหาร บน

ใบหน้า กลับมีรอยสัก เห็นอย่างชัดเจน จางเหลียงสำรวจดู นายโจร

ป่าผู้นี้ กลับมาวิทยายุทธ ลึกลำ้ ไม่ทราบเหตุใด ถึงมาเป็น โจรป่า

ที่ยืนอยู่ข้างกายนายโจรป่ากลับมียอดฝีมือ อีกสี่คน


นายโจรนั้น กลับยกสองมือขึ้นพร้อมโบกมือไปด้านหน้า


ยอดฝีมือทั้งสี่คนชักกระบี่ โถมเข้าหา ชายหนุ่มทั้งสอง



อ่านต่อ ประกาศิตสำนักเม่อ 


วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

กักตน ฝึกปรือ_6

รุ่งเช้าแล้ว เสียงนำ้ใสไหลรินตามลำธาร เสียงนกกาออกหากิน ดนตรี แห่งพงไพร เริ่มบรรเลง 

แต่ผู้เฒ่าเหลืองยังไม่มา จางเหลียง ยังคงอดทนรอต่อไป 

สายแล้ว กระแสลมพัดวูบหนึ่ง จางเหลียง หันกายไป กลับพบผู้เฒ่าเหลืองอยู่บนสะพานแล้ว

จางเหลียงรีบลุกขึ้น เดินเข้าหา พร้อมยกมือโค้งคารวะ

พร้อมกล่าวเสียงกังวานว่า


"อรุณสวัสดิ์ ท่านผู้เฒ่า "


ผู้เฒ่าเหลือง กล่าวตอบว่า


"เจ้าหนุ่ม เจ้าใช้ได้ทีเดียวสมกับ ของวิเศษของข้า  เจ้าจงใช้มันให้ดี  ยามใด มังกรฟ้าปรากฏ เจ้าจะเข้าใจเอง"


พลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ เมื่อชักมือออกมา กลับมีห่อสิ่งของอย่างหนึ่ง หุ้มด้วยหนังอย่างดี พร้อมกับยัดใสมือ จางเหลียงอย่างรวดเร็ว 

จางเหลียง ยังไม่ทันตั้งตัว ห่อสิ่งของกลับเข้ามาอยู่ในมือ จึงก้มหน้ามองสิ่งของในมือ เมื่อเงยหน้าขึ้น พร้อมกับ กล่าวว่า


"ท่านผู้เฒ่า....."


จางเหลียงกลับกล่าวต่อไม่ได้ เนื่องจาก ผู้เฒ่าเหลือง  หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


จางเหลียงใจหายวูบอย่างหนาวเหน็บ ใจเย็นเฉียบ ดุจดังตกลงในหล่มน้ำแข็ง ถ้าผู้เฒ่าเหลืองเป็นศัตรู ตนเองคงตายอย่างงมงาย

ดีที่ตนเองรู้สึกดีเมื่อได้สนทนากับผู้เฒ่าเหลือง จึงอดทนอดกลั้น ได้นานถึงเวลานี้

ผู้เฒ่าเหลือง ท่านคงเป็น ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เร้นกาย พลังลมปราณ ลึกล้ำสุดยั่งคาด ไปมาไร้วี่แวว ร่องรอยให้เห็น

แม้ว่าจางเหลียง จะมีกำลังภายในลึกล้ำ ในระดับกลางแล้ว กลับไม่สามารถสังเกตเห็น พลังลมปราณภายในที่งำไว้ ของ ท่านผู้เฒ่าเหลือง

จางเหลียงจึงนำห่อสิ่งของหุ้มหนังเสือ กลับไปยังกระท่อมที่พัก 

เมื่อแกะที่หุ้มออกกลับเป็นหนังสือไม้ไผ่เล่มหนึ่ง  เมื่อคลี่กางออก กลับเป็น 

ตำราพิชัยยุทธโบราณ ที่หายสาบสูญไปเนินนาน ที่ชื่อว่า 

"ไท่กงปิงฝ่า"


จางเหลียงตื่นเต้นอย่างยิ่ง

รีบคลี่ออกอ่านอย่างคร่าวๆก่อน 

อ่าน จนกระทั่ง แผ่นสุดท้าย กลับกล่าวถึง ตำรา เต๋าเต็กเก็งฉบับย่อ และ ตำราอี้จิงฉบับย่อ

ตำรา เต๋าเต็กเก็งฉบับสมบูรณ์ บ่งบอกตำแหน่งซุกซ่อนอยู่ในเขตเมืองไหวอิง ส่วนตำราอี้จิงฉบับสมบูรณ์ ซุกซอนอยู่ในเขตเมืองอู๋


อ่านต่อ




วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

กักตน ฝึกปรือ_5

ห้าวันต่อมา


จางเหลียงรีบมาที่สะพานตามนัด แต่เช้า 

เมื่อ มาถึงสะพาน กลับพบว่า ผู้เฒ่าเหลือง นั้นรออยู่ที่สะพานอยู่แล้ว


จางเหลียงรีบวิ่งเข้าไปหา ยกมือโค้งคารวะ พร้อมกล่าวว่า

"อรุณสวัสดิ์ ท่านผู้เฒ่า"


ผู้เฒ่าเหลือง กลับกล่าวว่า

"วันนี้เจ้ามาสาย อีกห้าวันค่อยกลับมาใหม่"


หลังจากนั้น ผู้เฒ่าเหลือง รีบเดินจากไป อย่างไม่แยแส


จางเหลียงได้แต่ ร้องเรียกว่า 


"ท่านผู้เฒ่า      ท่านผู้เฒ่าๆ   "


แต่ผู้เฒ่าเหลืองไม่แยแส เดินหายลับไปในป่า


จางเหลียงได้แต่อ้ำอึ้ง จึงกลับบ้านไป


อีกห้าวันถัดมา

จางเหลียงรีบมาที่สะพานตามนัด เช้า กว่า ห้าวันที่แล้ว

เมื่อ มาถึงสะพาน กลับพบว่า ผู้เฒ่าเหลือง นั้นรออยู่ที่สะพานอยู่แล้ว



จางเหลียงรีบวิ่งเข้าไปหา ยกมือโค้งคารวะ พร้อมกล่าวว่า

"อรุณสวัสดิ์ ท่านผู้เฒ่า"

ผู้เฒ่าเหลือง กลับกล่าวว่า

"วันนี้เจ้ามาสาย อีกห้าวันค่อยกลับมาใหม่"


หลังจากนั้น ผู้เฒ่าเหลือง รีบเดินจากไป อย่างไม่แยแส



จางเหลียงได้แต่อ้ำอึ้ง จึงกลับบ้านไป


อีกห้าวันถัดมา

จางเหลียงรีบมาที่สะพานตามนัด เช้า กว่า ห้าวันที่แล้ว


จางเหลียงรีบวิ่งเข้าไปหา ยกมือโค้งคารวะ พร้อมกล่าวว่า

"อรุณสวัสดิ์ ท่านผู้เฒ่า"

ผู้เฒ่าเหลือง กลับกล่าวว่า

"วันนี้เจ้ามาสาย อีกห้าวันค่อยกลับมาใหม่"


หลังจากนั้น ผู้เฒ่าเหลือง รีบเดินจากไป อย่างไม่แยแส



จางเหลียงได้แต่อ้ำอึ้ง จึงกลับบ้านไป



ค่ำคืนวันที่ 4 ก่อนวันนัด 


จางเหลียงนอนครุ่นคิด ว่า

"นับตั้งแต่เจอท่านผู้เฒ่าเหลือง ผ่านมา สิบเก้าวันแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็จะครบ ยี่สิบวัน เรา ไปตามนัดแต่เช้าทุกครั้ง แต่ท่านผู้เฒ่ากลับ มาก่อนเราทุกครั้ง ไม่ได้การหละ วันนี้ต้องไปแต่เช้า กว่าทุกครั้ง ไม่เอาดีกว่า ไปรอซะตอนนี้เลย นี้ก็ประมาณ ยามสอง ท่านผู้ เฒ่ายังคงไม่มา"

คิดดังนั้นจางเหลียงจึงจัดแจงแต่งตัว ไปรอท่านผู้เฒ่าเหลือง ตั้งแต่ เที่ยงคืน

เมื่อไปถึง สะพาน จางเหลียง ไม่พบท่านผู้เฒ่าเหลือง จึงครุ่นคิดในใจว่า "วันนี้ เรามาก่อนท่านผู้เฒ่า แล้ว  "

จางเหลียงจึงนั่งรอผู้เฒ่าเหลือง ณ สะพาน ตำแหน่งนัดนี้



อ่านต่อ

กักตน ฝึกปรือ_4

"ท่านผู้เฒ่า เราไปสนทนาที่กระท่อมซ่อมซ่อ ของข้าพเจ้ากันเถอะ  จะได้นั่งสนทนากันให้มากกว่านี้"

ชายชรากล่าวตอบว่า

"ข้าไม่ไปหรอก ข้าจะอยู่ที่นี้ ข้ากำลังรอรองเท้า"


จางเหลียง กวาดตาไปที่เท้าของชายชรา รองเท้าด้านขวา กลับหายไป  


จางเหลียงกล่าวถามอีกว่า 


"รองเท้าท่านผู้เฒ่า หล่นหายที่ใด?"


ชายชรากล่าวตอบว่า 


"รองเท้าข้า หล่นอยู่ต้นน้ำโน้น ข้าก็เลยมารออยู่ปลายน้ำนี้"


จางเหลียงกล่าวถามอีกว่า 



"ทำไมท่านผู้เฒ่า ถึงไม่หารองเท้าที่หล่นอยู่ต้นน้ำโน้น หละ"


ชายชรากล่าวตอบว่า 


"นำ้มันเชี่ยวกราก กระโดดลงไป จะคว้ารองเท้าได้ทัน เหรอ เปรียบเหมือน คนเราอยู่ในสถานะการณ์วุ่นวาย ถ้ากระโจนตามสถานะการณ์ จะแก้ปัญหาได้เหรอ ?"


จางเหลียงกำลังจะกล่าวต่อ ตาเหลือบมองไปเห็นรองเท้าหนึ่ง ลอยมาตามลำธาร 

จึงร้องบอกชราว่า 

"ท่านผู้เฒ่า ข้าพเจ้าจะเกี่ยวรองเท้ามาให้ท่าน " 

จากนั้นจางเหลียงวิ่งไปข้างลำธาร หยิบกิ่งไม้ยาวมา เกี่ยวรองเท้าที่ไหลตามน้ำมาเข้าฝั่ง พร้อมสลัดน้ำออก  แล้วจึงเดินมาส่งให้ชายชรา

ชายชรากลับกล่าวว่า

"เจ้าหนุ่มใส่รองเท้าให้ข้าด้วย " 

จางเหลียงก้มลงใส่ รองเท้าให้กับชายชรา แล้วลุกขึ้นกล่าวว่า


"เรียบร้อยแล้วท่านผู้เฒ่า"


ชายชราขยับเท้ายึกยักคราหนึ่ง รองเท้าด้านที่จางเหลียงใส่ให้สักครู่กลับหล่นลงน้ำ



ชายชรากลับกล่าวว่า



"เจ้าหนุ่มเก็บรองเท้าให้ข้าอีกที" 


จางเหลียงหยิบกิ่งไม้ยาวมา เกี่ยวรองเท้าเข้าฝั่ง พร้อมสลัดน้ำออก  แล้วจึงเดินมาส่งให้ชายชรา 

ชายชรากลับกล่าวว่า


"เจ้าหนุ่มใส่รองเท้าให้ข้าด้วย " 


จางเหลียงก้มลงใส่ รองเท้าให้กับชายชรา แล้วลุกขึ้นกล่าวว่า


"เรียบร้อยแล้วท่านผู้เฒ่า"



ชายชราขยับเท้ายึกยักคราหนึ่ง รองเท้าด้านที่จางเหลียงใส่ให้สักครู่กลับหล่นลงน้ำ




ชายชรากลับกล่าวว่า



"เจ้าหนุ่มเก็บรองเท้าให้ข้าอีกที" 



จางเหลียงหยิบกิ่งไม้ยาวมา เกี่ยวรองเท้าเข้าฝั่ง พร้อมสลัดน้ำออก  แล้วจึงเดินมาส่งให้ชายชรา 

ชายชรากลับกล่าวว่า


"เจ้าหนุ่มใส่รองเท้าให้ข้าด้วย " 


จางเหลียงก้มลงใส่ รองเท้าให้กับชายชรา แล้วลุกขึ้นกล่าวว่า


"เรียบร้อยแล้วท่านผู้เฒ่า"

ชายชราขยับเท้ายึกยักคราหนึ่ง รองเท้าด้านที่จางเหลียงใส่ให้สักครู่

ครานี้กลบไม่หล่นลงน้ำ

จางเหลียงกล่าวอีกครั้ง

"เรียบร้อยแล้วท่านผู้เฒ่า"


ชายชราครางในลำคอ อืม แล้วกล่าวว่า


"เจ้าหนุ่มเจ้าชื่อว่า อะไร"


"ข้าน้อย จางเหลียง  ขอเรียนถามท่านผู้เฒ่ามีนามใด" 

จางเหลียงกล่าว

"เจ้าว่า ข้าใส่ชุดสีอะไร เจ้าเรียกข้าตามนั้นเถอะ เจ้าหนุ่ม เจ้าใช้ได้ทีเดียว อีก ห้าวัน มาพบข้าที่นี้ อีก ข้ามีสิ่งของจะให้" 


ชายชรากล่าวว่า พร้อมกลับเดินลงจากสะพานไปอย่างรวดเร็ว 

จางเหลียงอ้าปาก จะกล่าวต่อ แต่ชายชรานั้นเดินไปไกลแล้ว

จางเหลียงสั่นหัวคราหนึ่ง จึงเดินกลับเข้ากระท่อมไป

อ่านต่อ


วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

กักตน ฝึกปรือ_3

เมืองเซียพี เป็นเมืองใหญ่ ผู้คนพลุกพล่าน  หลากหลาย

จางเหลียง และอู่ซันเกิง มาถึงเซียพี ทั้งคู่แต่งกายเยี่ยงชาวเมือง ทั่วๆไป จึงไม่เป็นที่สดุดตา แต่อย่างไร

ทั้งคู่ได้แยกย้าย กัน เพื่อ หาที่ พักผิง  จางเหลียงกลับจับจองพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ทำการปลูกกระท่อมไว้พักพิง ด้านหลังกลับเป็นภูเขาลูกหนึ่ง ด้านหน้า กลับเป็นลำธาร นำใสไหลตลอดปี


ในพื้นที่ราบกลับปลูกข้าวทำนา บริเวณเชิงเขา กลับทำไร่  จางเหลียงกลับประกอบอาชีพ กสิกร และ ล่าสัตว์ป่า ในภูเขา

เมื่อได้สินค้าจากป่า จะนำไปขายในเมืองใหญ่ ทั้งเป็นการสืบข่าว ความเคลื่อนไหว ของทางการบ้านเมือง

กลางคืนกลับคร่ำเคร่ง ฝึกปรือกำลังภายในวิสุทธิมรรค

วันนี้กลับวันครบรอบ หนึ่งปี ที่ได้มาอยู่เซี่ยพี  เช้านี้ เมื่อนำของป่าไปขายที่ตลาดหมดแล้ว  เดินทางกลับบ้าน ตามปกติทุกวัน เมื่อรุ่งเช้านี้ ฝนกลับตก ทำให้ถนนกลับเข้าบ้านเป็นเลนตม  ใกล้ถึงบ้านอยู่อีกฟากหนึ่งของลำธาร จางเหลียงก้มลงวักน้ำในลำธาร ล้างแขน ล้างขา ตนเองให้สะอาด ก่อนกลับเข้าบ้าน


เมื่อเงยหน้าขึ้น จางเหลียงกลับเห็นชราชุดเหลืองผู้หนึง่ ยืนอยู่บนสะพานไม้ข้ามลำธารแคบๆ ที่เป็นเส้นทางข้ามไปกระท่อมของตนเอง  ชายชรา ก้มหน้า ข้ามพนักข้างสะพาน คล้ายกับ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่

จางเหลียงสงสัยยิ่ง จึงเดินเข้าใกล้ ๆ  เห็นมือหนึ่งเกาะราวสะพาน มือหนึ่งถือ คันเบ็ด กริยาท่าทางกำลังตกปลา จางเหลียงเพ่งตามองอีกที กลับพบเรื่องประหลาดใจมาก

เบ็ดที่ชายชราตกปลา กลับไม่มีสายเบ็ด  จางเหลียงอดสงสัยไม่ได้ จึง เดินเข้าไปยกมือโค้งคารวะ จางเหลียงกล่าวด้วยเสียงกังวานว่า

"คารวะท่านผู้เฒ่า ท่านกำลังตกปลาอยู่หรือ?"

ชายชรานั้นเบือนหน้ามาทางจางเหลียง 


แล้วกล่าวตอบจางเหลียงอย่างยียวนว่า 


"เจ้าว่าข้ากำลังตัดไม้ ผ่าฟืน หุงข้าว อยู่หรือ?"


จางเหลียงได้ยินดังนั้น กลับ อ้ำอึ่ง และยิ้มเก้อ


หลังจากผ่านวิกฤติการณ์การหลบหนี จากการลอบสังหารองค์ฮ่องเต้ มาอยู่ เซียพี ต้องอดทนอดกลั่น ในการประกอบอาชีพ กสิกรรม และ ล่าสัตว์ป่า ทำให้ความวู่วามของ จางเหลียงลดทอนลงไปมาก มีความสุขุมเยือกเย็นมากขึ้น กลับระวังตัวขึ้น ไม่วู่วามอย่างเช่นกาลก่อน

ชายชราเห็นจางเหลียงอ้ำอึง จึงกล่าวตอบว่า


"ใช่ข้ากำลังตกปลาอยู่"


จางเหลียงกล่าวถามอีกว่า 

"ในโลกนี้ มีการตกปลาที่ไม่ใช้เหยื่อด้วยหรือ?"


ชายชรากลับหัวเรอะ ฮาฮา  แล้วกล่าว

"คนที่หลงกลคนอื่น ต้องมีเหยื่อล่อด้วยหรือ?"


จางเหลียงได้ยินดังนั้น กลับ อ้ำอึ่งอีกครั้ง กลับพึมพำทวนคำของชายชราว่า 

"คนที่หลงกลคนอื่น ต้องมีเหยื่อล่อด้วยหรือ?"

จางเหลียงกลับครุ่นคิดขึ้นว่า ชายชราท่านนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ จำต้องชวนสนทนาต่อ

จึงกล่าวว่า 

อ่านต่อ

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

กักตน ฝึกปรือ_2

อดีตแคว้นฉู่ มีเมืองหลวงอยู่ที่ โซ่วซุน มาบัดนี้ ถูกล้มล้าง และถูกผนวกเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของ จักรวรรดิ์ฉิน ทหารฉิน ย่อมยึดครองโซ่วซุนไว้ อย่างแน่นหนา อดีตทายาท เจ้าแคว้น และทายาท ขุนศึก ย่อมหลบหลี้หนีหน้าซ่อนกาย

วันนี้ รถม้าคันหนึ่งกับมาถึงเมือง เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในอดีตแคว้นฉู่บนรถม้า กลับบรรทุกทุกด้วยชาย สามคน  เมื่อ รถม้าหยุดลง เซียงป้อ ผู้เป็นคนขับ กระโดดลง จากรถม้าเป็นคนแรก  แล้วจึงเดินเข้าไป ที่หน้าประตูเมือง ทหารฉินที่ประจำการ อยู่ ประตูเมือง รีบเปิดประตูออก พร้อมกับ โค้งคารวะ  เซียงป้อ ๆ คารวะตอบ และพูดกันคำสองคำ หลังจากนั้น เซียงป้อ กลับมาที่รถม้า กระโดดขึ้นนั่งที่ขับ แล้ว กระตุกให้ม้าวิ่ง เข้าเมือง  


รถม้ากลับวิ่งมาหยุดในบ้าน คหบดี หลังใหญ่หลังหนึ่ง


บ่าวรับใช้ชาย สามคน วิ่งเข้ามาที่ รถม้า  พร้อมยืนเรียงแถว 

เซียงป้อ จึงสั่งให้บ่าวพาแขกอีกสองคนไปพักผ่อน


ในวันรุ่งขึ้น ณ ห้องโถง ห้องรับแขก กลับนั่งด้วย เซียงป้อ และ แขกอีก สองคน คล้ายกับ รอเจ้าบ้าน

สักครู่หนึ่ง เจ้าบ้านเดินเข้ามาในบ้าน เซียงป้อ และ แขกอีกสองคน ลุกขึ้นยืนคารวะ

เซียงป้อ กล่าวเสียงกังวานว่า  


"ท่านพี่ เชิญเถอะ ข้าพเจ้ามีแขกที่จะแนะนำให้ รู้จัก"

พลางหันหน้าไปกล่าวกับแขกทั้งสองว่า

"ข้าพเจ้าขอแนะนำให้สหายทั้งสองได้ รู้จักกับ ท่านพี่ข้าพเจ้า

ท่านเรียกว่า เซียงเหลียง "

แขกทั้งสองกล่าวว่า "นับถือๆ "

เซียงป้อ กล่าวต่อ พร้อมกับผายมือ มายังแขกทั้งสอง พร้อมกับแนะนำ ต่อ เซียงเหลียงว่า

"ท่านนี้ คือ ท่านจางเหลียงสหายของข้าพเจ้า อีก ท่านหนึ่งเป็นสหายของท่าน จางเหลียง ท่าน อู่ซันเกิง"


เซียงเหลียงกล่าวเสียงกังวานว่า  "ยินดีๆ ท่านทั้งหลาย เชิญนั่ง"

เมื่อกล่าวจบ เซียงเหลียง เดินเขาไปนั่ง ตำแหน่งประธานของเจ้าของบ้าน 

เซียงป้อ จางเหลียง และ อู่ซันเกิง จึงนั่งลง สองฟากข้าง  เซียงป้อนั่งฟากด้านซ้ายมือ  
จางเหลียง และ อู่ซันเกิง นั่งฟากด้านขวามือ


เซียงเหลียงกล่าวเสียงกังวานว่า

"พวกท่านทั้งสามคน ต่างต้องอาญาแผ่นดินฉิน เซียงป้อน้องของข้าเจ้าจำต้องเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในเมืองนี้  อย่าได้วุ่นวายนัก "

เซียงเหลียงกล่าวต่อว่า

"อันเจ้าเมืองอู๋กับเรา มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน คงไม่มีปัญหาความยุ่งยากตามมา ท่านจาง และ ท่าน อู่ ท่านสามารถหลบซ่อนพักพิง อยู่ที่นี้ ได้อย่างปลอดภัย ท่านเห็นเป็นประการใด"


จางเหลียงกล่าวตอบว่า 


"ขอบพระคุณในน้ำใจของท่านเซียงเหลียง  ข้าพเจ้าขอพักพิงสัก สองสามวัน เนื่องจาก ข้าพเจ้ามีปมภารกิจในใจ ยังไม่สะสาง จึงใคร่ขอเดินทางต่อ เพื่อ สะสางภารกิจให้เสร็จสิ้น"


เซียงเหลียงกล่าวตอบว่า

"น่าเสียดายนัก แต่เมื่อท่านทั้งสอง มีภาระกิจ เราก็มิอาจรั้งท่าน ไว้ อีกสองสามวัน ค่อยเดินทางเถอะ"

หลังจากนั้น ทั้งสี่คนได้สนทนากันในเรื่องทั่วๆไป แล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน


อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

มือลอบสังหาร_7

ราชรถที่จิ๋นซีฮ่องเต้ประทับ จะเรียกว่า ราชรถเงินราชรถทอง เทียมด้วยม้า หกตัว เมื่่อพระองค์เสด็จประพาส จะประกอบด้วยรถ แปดสิบเอ็ดคัน ทัพหน้าประกอบ ด้วยทหารม้าลาดตระเวณ หนึ่งกองพัน ทหารราบลาดตระเวณ หนึ่งกองร้อย ทหารธนู ทหาราบ ทหารม้ากองกำลังหลัก กองกลางปกป้องคุ้มครอง องค์ฮ่องเต้  ทัพหลังดุจดั่งเดียวกัน


เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดุจดังปฐพีถล่ม ของขบวนเสด็จ ตะวันออก จากนครเสียนหยาง เข้าสู่หานตัน ทางด่าน ป้อหลางซา อันมีโตรกเขา สองข้างประกบด้วยเนินเขาสูงชัน

พลัน เกิดเสียงสนั่น ดุจดังระเบิด ท่ามกลางขบวนเสด็จ อันเนื่องจากเหล็กหมาด ขนาด หนึ่งร้อยยี่สิบชั่ง (ประมาณ หกสิบกิโลกรัม)  ลอยมาปะทะราชรถที่องค์ฮ่องเต้ประทับ

สองฟากข้างทางขบวนเสด็จปรากฏมือธนูคลุมหน้าด้วยผ้าดำ ราวๆ ข้างละหนึ่งร้อยคนโผล่ออกมาพร้อมยิงลูกธนูไปยังเหล่าทหารที่รายล้อมราชรถฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว


เหล่าทหารม้า และ ทหารราบ ทหารธนู ที่อยู่รายรอบราชรถ กลับล้มลงดุจใบไม้ร่วง  พลันปรากฏ นักฆ่าชุดคลุมหน้าผ้าดำสองคน โถมไปยังราชรถ  ชายชุดดำคลุมหน้าคนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่ พร้อมอาวุธ ลูกตุ้มเหล็ก อีกคนกลับมีรูปร่างสัดทัด มือถือกระบี่


เมื่อนักลอบสังหารทั้งสอง โถมถึงราชรถที่แหลกละเอียด ทั้งคู่กลับร้องในใจว่า

"ผิดท่า"

พร้อมกับเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันว่า


"ถอนตัว รีบหนี  กับดักๆ"

ที่แท้สิ่งที่ทั้งสองพบเห็นคือ ราชรถเปล่า ที่ใช้เป็นกับดักลวงนักฆ่า

มือลอบสังหาร ทั้งสองรีบหมุนตัวกลับ และ วิ่งตะบึ่งออกมาด้วยความรวดเร็ว แต่ละคนแยกย้ายกันหลบหนี


เสียงหอกซัด และ ลูกธนู ถูกพุ่ง และยิงมา จากเหล่าทหารองครักษ์ที่เหลือ  ผ่านอย่างเฉียดฉิวไปด้านหลัง ของมือลอบสังหารที่เป็นคนรูปร่างสันทัด พร้อมกับ เสียงทัพม้าศึก ไล่ล่ากวดตามหลังมาอย่างรวดเร็ว


มือลอบสังหารผู้นี้ วิ่งตะบึงด้วยความรวดเร็ว แสดงถึงเป็นผู้มีวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม  มือหนึ่งปลดผ้าคลุมหน้าทิ้งไป ที่แท้มือลอบสังหาร คือ จางเหลียงนั้นเอง  พร้อมกันนั้นกับมีหน้ากากใบหนึ่ง แบะเอาไว้ที่หน้า  หลังจากนั้น ชุดดำทั้งหมดกลับถูกถอดทิ้งทั้งหมด


จางเหลียง วิ่งตะบึงหลบหนีขึ้นไปตามภูเขา ยิ่งมาต้นไม้ยิ่งหนาแน่นขนัด เสียงกองทัพม้าเลือนลางห่างออกไป ซึ่งแสดงว่ากองทัพ ม้าติดตามขึ้นมาไม่ได้แล้ว

ทันใดนั้น ได้ยินเสียงวืด พุ่งมาแต่ไกล และรวดเร็วยิ่ง เข้าสู่กลางหลังของจางเหลียง จางเหลียงตระหนกตกใจยิ่ง เอี่ยวตัวหลบไปซ้ายมือ ร่างกายกลับเสียหลัก ล้มลง  จางเหลียงใจหายวาบ เนื่องจากการล้มครั้งนี้ ร่างกายกลับไม่สัมผัสพื้นดิน แต่เป็น อากาศ  ที่แท้ เป็นหุบเหวลึกหมื่นวา ที่มีแม่น้ำไหลผ่าน

เสียงดัง ตูม จางเหลียงกลับตกจากยอดเขาลงไปยังก้นหุบเหว ที่มีแม่นำ้ไหลผ่าน



ในช่วงสิบวันมานี้ทางการได้ปิดเมืองหานตัน เพื่อค้นหานักลอบสังหาร ตรวจสอบ ผู้คนที่เข้าออกเมืองอย่างละเอียด



ถนนออกนอกเมืองทางทิศใต้ ปรากฏชายฉกรรจ์ร่างท้วมผู้หนึ่ง อายุราว  ยี่สิบสอง ยี่สิบสามปี แต่งตัวเยี่ยงชาวบ้านทั่วไป กำลังเดินทางจะออกนอกเมือง  เมื่อ เห็นทหารตรวจคนออกจากเมือง อย่างเข้มงวด กลับมีท่าทางกล้าๆ กลัว ขึ้นมา ในขณะที่จะเดินไปเข้าแถวให้เหล่าทหารตรวจนั้น


  /

ทันใดนั้นรถม้าตระกูลอู่ พร้อมกงจื้อเล็กผู้สูงศักย์ เป็น คน ขับ วิ่งมาถึง ข้างกาย ได้ ยินเสียง ว่า

"ขึ้นมา"

ชายฉกรรจ์ร่างท้วม รีบกระโดดขึ้นรถม้าทางดานหลังทันที รถม้าวิ่งไปยังประตูเมือง เหล่าทหารรักษาประตูเมือง เมื่อเห็นรถม้าตระกูลอู่ และ กงจื้อเล็ก ย่อมต้องเปืดประตูให้ผ่านออกไป ทันทีทันใด

รถม้าวิ่งตะบึงออกจากประตูเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อวิ่งมาไกล ประมาณหนึ่งร้อยลี้  รถม้ากลับหยุดลง

อ่านต่อ บทที่ 2




มือลอบสังหาร5_5

"พวกเราร่วมเป็นร่วมตาย  จางเหลียงไม่คิดทิ้งท่าน หนีเอาชีวิต รอดเพียงลำพัง เด็ดขาด"


ได้ยินศัตรููโห่ร้องไล่ล่าเข้ามาใกล้ว่า


"อู่ซันเกิงถูกอาวุธแล้ว "


ในหมอกขาวปรากฏเงาผู้คนพลุกพล่าน สิบกว่าคนขึ้นมา คุกคามเข้าใกล้


จางเหลียง พลันรู้สึกกระแสลมสายหนึ่งพุ่งผ่านข้างกายตนไป  แว่วเสียงอู่ซันเกิงหัวเราะฮาฮา  ผู้คนที่ดาหน้ามา สิบกว่าคน ล้มลงระเนระนาด

อู่ซันเกิงพลันหมุนตัว แล้วรีบตะบึง ต่อไป จางเหลียงได้แต่เกร็งลมปราณวิ่งติดตามไป


เมื่อวิ่งตะบึ่งถึงทางเลี้ยวโค้งสองครา อู่ซันเกิงพลันกล่าวว่า

"ถึงแล้ว"


พลางระบายลมออกจากปากยาวๆ ส่งเสียงหัวร่อด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ


จางเหลียง กวาดตามอง ต้องใจหายวูบ  ที่เบื้องหน้า ปรากฏแท่งหินแคบเรียวสายหนึ่ง ทอดข้ามหุบเหวลึกหมื่นวา แท่งหินที่เห็นมีความยาว แปดเก้าเชียะ ถัดไปปกคลุมด้วยเมฆหมอก ไม่ทราบสุดปลายทางเป็นอย่างไร

อู่ซันเกิงกล่าวเบาๆ


"ในเมฆหมอก ขาว มีเส้นลวดเหล็กเส้นหนึ่ง ยาวสิบกว่าวา  พวกเราจะข้ามสะพานนี้  จงระมัดระวังให้ดี"

พลางเกร็งลมปราณทำวิชาตัวเบา แล้ว ไต่ไปตามเส้นลวดเหล็ก  จางเหลียง กร็งลมปราณทำวิชาตัวเบา แล้ว ไต่ไปตามเส้นลวดเหล็กตามไป เมื่อ ถึงอีกฟากหนึ่ง ทั้งสองคนกลับลงมือพร้อมกัน ทำลายสะพานสายลวดเหล็กนี้ทิ้งเสีย

หลังจากนั้น ทั้งสองค่อยๆไต่ลงสู่หุบเขาเบื้องล่าง  เมื่อถึงก้นเหว ทั้งสองกลับเหน็ดเหนือยเป็นอย่างยิ่ง

จึงนั่งพักผ่อน เอนหลังพิงก้อนหิน ไม่นานให้หลัง จางเหลียง ก็หลับไป




อ่านต่อ









วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มือลอบสังหาร5_4

จางเหลียง ครุ่นคิดขึ้น

"วิเศษแท้ เมื่อภูมิประเทศเป็นเช่นนี้ ทหารหลายร้อยนายนั้น ไม่สามารถฮือเข้ามาพร้อมกัน ในคราเดียว ขอเพียงบุกมาทีละคน เรากับพี่แซ่อู่ นี้สามารถรับมือได้"


แต่เสียงร้องตามหลัง ยิ่งใกล้เข้ามา แสดงว่า ผู้ไล่ติดตามนั้น เป็นยอดฝีมือ เชิงวิชาตัวเบา  ทั้งสองวิ่งถึงมุมโค้งแห่งหนึ่ง  อู่ซันเกิงกล่าวว่า

 "อย่าได้ส่งเสียง "

คนทั้งสองยืนแนบชิดติดกับผนังศิลา เพียงชั่วขณะ ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ผู้คนสองคน วิ่งติดตามมาในหมอกหนาทึบ คนทั้งสองไม่เห็น อู่ซันเกิง 
และจางเหลียง เมื่อวิ่งถึงข้างกายคนทั้งสอง ค่อยพบเห็น จางเหลียง และ อู่ซันเกิง ฟาดพลังฝ่ามือ ออกไปพร้อมกัน สองคนนั้น ปลิวละลิ่วลงเหวลึก ทันที 

ทั้งสองรีบวิ่งต่อไปทันที ทั้งคู่ยิ่งวิ่งยิ่งรวดเร็ว เสียงฝีเท้าติดตามมาหลายคนดังขึ้น 

ได้ยินเสียงหวืด อาวุธชนิดหนึ่งถูกซัดฝ่าอากาศมาอย่างเร่งร้อน  ที่แท้เป็นหอกซัด

ได้ยินอู่ซันเกิงร้อง "โอย"   และ ล้มตัวลง  จางเหลียงใจหายวาบ กระโดดปราดไปต้านอยู่เบื้องหน้า อู่ซันเกิง  ถามว่า 

"พี่อู่ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ"

อู่ซันเกิงกล่าวว่า

"เรา...เราไม่รอดแล้ว เจ้า ...เจ้ารีบหนีไป ...."

จางเหลียงร้องดังๆว่า




อ่านต่อ













วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มือลอบสังหาร5_3

วิ่งมาระยะทางหนึ่ง ได้ยินเสียงจางเหลียง กล่าวว่า ม้า และ เสบียง อยู่ทิศ ตะวันตก 

อู่ซันเกิง ตีวงอ้อมไปยังทิศทาง ที่จางเหลียงบอก เมื่อได้ม้า และเสบียง  จึงจับจางเหลียงไว้บนอานม้า ด้านตนเองนั่งด้านหลัง ควบม้า มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก สักพัก ลดเลี้ยว เข้าทางภูเขาสายหนึ่ง ยิ่งมายิ่งสูงชัน สุดท้าย ม้าเดินทางต่อไม่ได้ 

อู่ซันเกิง กล่าวว่า " เจ้าหิวหรือไม่ "

จางเหลียงกล่าวว่า "หิว " หลังจากนั้น ทั้งสองนำเสบียงออกมาดื่มกิน

หลังจากนั้น ทั้งสองค่อยๆเดินขึ้นภูเขาไป และ เมื่อ เหนื่อยก็นั่งพัก  ได้ยิน อู่ซันเกิงกล่าวว่า 

"น้องเรา เจ้านี้ประหลาดนัก ฝีมือเชิงอาวุธ แม้ธรรมดา  แต่พลังภายในกลับไม่ธรรมดา  แม้ถูกพลังฝ่ามือ ร้อนเย็นฟาดใส่ กลับปลอดภัยไร้เรื่องราว กลับเป็นเรื่องยินดีนัก "

ขณะที่จางเหลียงจะกล่าวตอบ ปรากฏ เสียงที่ห่างไกล ตวาดเสียงดังว่า

"อู่ซันเกิง เจ้าหนีไม่รอดหรอก ยังคงสวามิภักดิ์แต่โดยดี "

อู่ซันเกิง รีบกล่าวกับจางเหลียงว่า   "รีบไปน้องเรา"  พลางทุ่มท่าร่างไปข้างหน้า อย่างรวดเร็ว จางเหลียง รีบพุ่งท่าร่างติดตาม  หลังจากทั้งสองคนได้ พักเหนื่อย ฟื้นฟูกำลังแล้ว กลับทุ่มท่าร่างไปอย่างรวดเร็ว ดุจดังเหาะเหินอยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้า ที่แท้ทั้งสองคนได้วิ่งเข้าสู่กลุ่มหมอกอันหนาทึบ บนยอดเขา ทิศทางที่พุ่งผ่าน เป็นทางเดินป่าเล็กๆ เดินได้คนเดียวข้างหนึ่งเป็นผนังภูเขา ข้างหนึ่งเป็นหุบเหว ภูมิประเทศเหมาะแก่การซุ่มโจมตีอย่างยิ่ง





อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มือลอบสังหาร_5_2

จางเหลียงพลันรู้สึกตึงวูบ ที่หว่างเอว โซ่เหล็กเส้นหนึ่ง พุ่งวาบมา ม้วนร่างของเขาไว้  ร่างถูกฉุดโลดทะยานไป ราวเหาะเหิน เดินเวหามิปาน

ผู้ที่ช่วยชีวิตจางเหลียง ย่อมเป็นอู่ซันเกิง  เขาถูกกลุ้มรุมจากทหารทั้งกองทัพ ยามคับขันกลับปรากฏชายหนุ่มผู้ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ผู้หนึ่ง สอดมือเข้าช่วยเหลือ  ย่อมยึดถือเป็นผู้รู้ใจ


อู่ซันเกิง เห็นฝีมือจางเหลียง ขับไล่ศัตรู ก็ทราบว่า  ชายหนุ่มผู้นี้ มีกำลังภายในดี แม้ว่าจะไม่ถึงยอดเยี่ยมสูงล้ำ แต่วิชากระบี่ กลับธรรมดายิ่ง ทางหนึ่งต่อสู้ศัตรู ทางหนึ่งจับตา สภาพการต่อสู้ของจางเหลียง

เห็นจางเหลียงถูกกระแทกกระเด็น ก็ซัดพุ่งโซ่เหล็กม้วนร่างมันเอาไว้  วิ่งตะบึง จากไป

อู่ซันเกิงพอทุ่มเทวิชาตัวเบา กลับโลดแล่น คล้ายม้าป่าโลดตะบึง ชั่วพริบตาล่วงหน้า ไปหลายสิบวา ปรากฏพลทหารหลายสิบคน ติดตามมา พร้อมโห่ร้องว่า


"อู่ซันเกิงหลบหนีแล้ว อู่ซันเกิงหลบหนีแล้ว"

อู่ซันเกิงเดือดดาลเป็นกาลใหญ่  พลันหมุนตัวกลับ โถมไปเบื้องหน้าหลายก้าว ผู้คนที่ไล่ตามมาใจหายวาบ  รีบหยุดยั้งเท้า พลทหารคนหนึ่ง วิ่งมาเร่งร้อนเกินไป ต้องถลาไปเบื้องหน้าอย่างเสียหลัก 


อู่ซันเกิงตวัดเท้าซ้าย เตะมันลอยลิ่วเข้าไปในกลุ่มคน  หมุนตัววิ่งตะบึง สืบต่อ ทุกผู้คนก็วิ่งตามมาอีก แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้า ติดตามอย่างสุดกำลัง  ระยะทางยิ่งห่างออกไป 

อู่ซันเกิง ทุ่มเทฝีเท้าวิ่งตะบึง ในใจครุ่นคิดขึ้น  

"ชายหนุ่มผู้นี้ กับเราไม่รู้จักกัน กลับยอมขายชีวิตให้กับเรา สหายเช่นนี้ จะเสาะหาจากที่ใด เดียรัจฉานเหล่านี้ ติดตามไม่เลิกรา จะสลัดหลุดพวกมันได้อย่างไร"

อ่านต่อ

มือลอบสังหาร_5_1

มือร้อนเย็นคิดไม่ถึงว่า จางเหลียง จะมีชีวิตรอด จากพลังฝ่ามือของมัน จากนั้นเห็นประกายกระบี่เป็นจุด แต้มๆ จี้ใส่กลางฝ่ามือมัน ยามตระหนกรีบไขว้สลับสองมือ หนึ่งฟาดใส่ใบหน้าจางเหลียง หนึ่งฟาดใส่ท้องน้อย  พลังฝ่ามือพอพุ่งแผ่ออก

รู้สึกปวดแปลบอย่างรุนแรง  เห็นฝ่ามือตนเองร้อยติดกับกระบี่ ไม่ทราบว่าเป็นจางเหลียง แทงกระบี่ถูกสองมือมัน หรือว่าเป็นมันผลักฝ่ามือเข้าหาปลายกระบี่ เอง 

พลันได้ยินเสียงโครมครามเลื่อนลั่น  จากเหลียงเหลียวหน้ามอง เห็น พล ทหาร แปดเก้าคน กลุ้มรุม จู่โจม อู่ซันเกิง  มีอยู่ สองคน ฟาดฟันดาบเข้าใส่เสาเก๋งที่พัก ทำให้เก๋งที่พักหักโค่นลง ไม้ระแนงและแผ่นกระเบื้องมุ่งหลังคาเก๋งร่วงพรั่งพรูลงมา

เพิ่งเหลียวมองแวบหนึ่ง มือร้อนเย็นพลันสะอึกเข้ามา ฟาดฝ่ามือออกแต่ไกล พลังฝ่ามือฟาดถูกทรวงอกจางเหลียง  จางเหลียงถึงกับปลิวละลิ่วไป  กระบี่หลุดลอยจากมือ กลางหลังยังไม่แตะพื้น ปรากฏพลทหารเจ็ดแปดคน ไล่ติดตาม ฟาดอาวุธใส่อย่างพร้อมเพียง

อ่านต่อ

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มือลอบสังหาร_6


เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ชายแดนเหนือ ผู้คนพลุกพล่านไม่เบา โรงเตี้ยมประจำเมือง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนับว่าเหมาะสมยิ่ง  วันนี้ จางเหลียง กับสหายอู่ซันเกิงกลับปรากฏตัวอยู่ในที่นี้ ในขณะที่ รับประทานอาหารอย่างเงียบๆ กัน กลับ ได้ยิน ขี้เมาโต๊ะ ข้างๆ พูดคุยกับ เพื่อนๆร่วมโต๊ะว่า

"นับตั้งแต่ ห้ารอยปีก่อน เป็นต้นมา บ้านเมืองเรา มีแต่ความสงบสุข " ขี้เมาคนที่หนึ่ง กล่าวด้วยเสียงเมาอ้อแอ้


" แล้ว ตอนนี้บ้านเมือง เป็นอย่างไร "  ขี้เมาคนที่สองถามด้วยเสียงอ้อแอ้เช่นกัน 

"ทางการเขาห้ามวิจารณ์การเมือง " ขี้เมาคนที่หนึ่ง กล่าวด้วยเสียงเมาอ้อแอ้

" เราพูดกันในวงเหล้าแล้วใครจะรู้  "  ขี้เมาคนที่สองกล่าวด้วยเสียงอ้อแอ้เช่นกัน 

หลังจากนั้น ไม่ได้ยินคำกล่าวใดๆขึ้นมา 


จางเหลียงได้ตะแคงหูฟัง ตั้งแต่ขี้เมาสองคนคุยกันตั้งแต่เริมต้น แล้ว อดหงุดหงิดใจทนไม่ได จึงลุก ขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหา แล้วกล่าวว่าเสียงกังวานว่า

"บ้านเมืองเดือดร้อนทุกวันนี้เพราะฮ่องเต่ไม่ครองธรรม  ชาวบ้านเดือดร้อน หากินยากลำบาก ฮ่องเต้ให้สร้างกำแพง ถมทะเล ถมช่องเขา ถมช่องเขา สร้างตำหนักบนเขา เก็บตำราต่างๆมาเผา เอาปัญญาชนต่างๆไปฝั่งทั้งเป็น  ชาวบ้านหนีตายเข้าป่าไปมาก "



ขี้เมาทั้งสองได้ยินดังนั้น จึงตกใจกลัว รีบลนลาน ลงจากโรงเตี้ยม เสียง เสี่ยวเอ้อ ตะโกนบอกให้จ่ายเงินก่อน


จางเหลียงกลับบ่นพึมพัมว่า


"ไอ้พวกโง่ เอาแต่กลัว เมื่อไหร่จะได้แก้แค้น"

การกระทำของจางเหลียงนี้กลับตกอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง


อ่านต่อ

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มือลอบสังหาร_5

"ดาบของเจ้าเล่า?"
"เราใช้กระบี่ น่าเสียดาย เราไม่มีกระบี่"
อู่ซันเกิงกล่าวว่า 
"เจ้าผู้นี้ประหลาดพิศดารนัก ตกลงเราจะหากระบี่ให้เจ้าเล่มหนึ่ง"

เห็นมือ ขยับวูบหนึ่ง กระบี่พร้อมฝักที่วางอยู่ตรงหน้า ลอยเข้าหา จางเหลียง จางเหลียงยื่นมือวูบ จับกระบี่ และชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วกล่าวคำว่า

"กระบี่ที่ดียิ่ง "

ทันใดนั้น เห็นเงาขาวถลันวูบโถมเข้า นายทหารนั้น พริบตาประกายดาบวูบวาบแวบวับ อาวุธสิบกว่าเล่มฟาดฟันเข้าใส่โดยพร้อมเพียง จางเหลียงเห็นดังนั้น เกร็งลมปราณวิสุธิมรรค ไหลลงเท้า และ แขนขา ส่งกำลังไปยังกระบี่ ท่าเท้าอันลี้ลับกลับโถมเข้าหานายทหารนั้นเช่นกัน นายทหารนั้น ไม่คาดคิดว่า สองคนจะลงมือพร้อมกัน เมื่อเห็นจางเหลียงโถมเข้ามา รีบพุ่งถอยหลัง แทรกอยู่ใน กลุ่มพลทหาร สี่ห้าคน เสียงดาบกระบี่ปะทะกันดังก้งวาน พลทหาร ห้าหกคนล้มลง  นายทหารนั้น กลับ ผลักกระแทกสองมือออก แผ่พุ่งพลังเกรี้ยวกราดรุนแรงใส่

จางเหลียงลอบร้องคำว่า "ผิดท่า" ขณะจะถลันหลบรู้สึกมีพลังเย็นสายหนึ่ง คุกคามถึงตัว ต้องสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ


ฝ่ามือทั้งสองข้างของนายทหารนั้นใช้พลังผิดแผกแตกต่างกัน แบ่งเป็นหนึ่งร้อนหนึ่งเย็น ฝ่ามือร้อนใช้ออกก่อน ฝ่ามือเย็นกลับถึงตัวก่อน จางเหลียง เพิ่งงงงันวูบ ปรากฏคลื่นความร้อนสายหนึ่ง กระโชกมาถึง  ต้องส่ายร่างโงนเงนคราหนึ่ง

พลังฝ่ามือร้อนเย็นจู่โจมถึงตัว ตามเหตุผลไม่มีทางรอด แต่จางเหลียง มีลมปราณวิสุทธิมรรคเปี่ยมล้น แม้ว่ายังไม่สำเร็จถึงขั้นสูงสุด เพียงฝึกสำเร็จในระดับสี่เท่านั้น แต่ ลมปราณวิสุทธิมรรค เป็นลมปราณที่คุ้มครองร่างกยได้อย่างดียิ่ง เมื่อพลังร้อนเย็นมาถึงตัว ลมปราณวิสุทธิมรรค บังเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน คุ้มครองชีพจรหัวใจ โดยไม่ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต มาตรแม้นเป็นเช่นนั้น จางเหลียงยังคงได้รับ ความสะท้านสะเทือน 

นายทหารมือร้อนเย็น นั้น ฟาดพลังฝ่ามือมาอีก  จางเหลียงถือกระบี่ โถมแทงออกไป 



อ่านต่อ

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มือลอบสังหาร_4

"เด็กน้อยหลีกไป อย่าได้ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี้  พวกเราได้รับคำสั่งท่านแม่ทัพ ให้คร่ากุมคนทรยศ  อู่ซันเกิง ผู้อื่นหากคิดก่อกวนขัดขวางจะให้มันตายอย่างอเนจอนาถ"

ชายหนุ่มกวาดตาไปยังต้นเสียง  เห็นคนกล่าววาจา เป็นคนผอมสูง ใส่ชุดยศ นายทหาร ข้างกายยืนไว้ด้วยพลทหารราบ หนึ่งร้อยถึงสองร้อยคน 

ชายหนุ่ม รินสุราอีกถ้วยหนึ่งดื่มลงไป ค่อยกล่าวกับชายฉกรรจ์ชุดขาวว่า

"ท่านพี่แซ่อู่ เราดื่มสุราของท่านสามถ้วย ต้องขอบคุณท่านมากแล้ว"

นายทหารร้องว่า

"ผู้แซ่อู่ เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว รีบตามพวกเราไปหาท่านแม่ทัพเถอะ ยอมรับการจัดการจากท่านผู้แม่ทัพ ไม่แน่นักว่าจะไม่มีหนทางรอด ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพฉินเรา หรือจะต้องต่อสู้ให้เลือดสาดกระเด็น ปล่อยให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ?"

อู่ซันเกิง แค่นเสียงดังเฮอะ ยกถ้วยดื่มสุราคำหนึ่ง กลับบังเกิดเสียง เคร้งคร้างดังขึ้น  ชายหนุ่มเห็น สองมือคนผู้นี้ล่ามโซ่เหล็ก เส้นหนึ่ง สร้างความตื่นเต้นสงสัยยิ่ง ครุ่นคิดขึ้น


"ที่แท้เขาแหกคุกหลบหนีออกมา กระทั่งเครื่องพันธนาการ บนมือยังไม่ต้องทำลายทิ้ง "

พริบตาบังเกิดความเห็นอกเห็นใจเขา หวนนึกถึงคนผู้นี้ สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ขัดขืน ตนเอง จะช่วยต้านทานรับมือสักครา ยอมจบชีวิตในที่นี้ ดังนั้น ผุดลุกขึ้น กล่าวเสียงกังวานว่า 

"ท่านพี่แซ่อู่ ถูกล่ามโซ่ไหนเลย ลงมือกับพวกท่านได้ เราดื่มสุราของท่านพี่สามถ้วย ได้แต่ช่วยท่านพี่ต้านทานศัตรูเข้มแข็ง  ผู้ใด คิดแตะต้องผู้แซ่อู่ ต้องฆ่าจางเหลียงก่อน"

ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้ คือ จางเหลียง  นั้นเอง  ที่เคียดแค้น ฮ่องเต้ยิ่งนัก ที่ล้มแคว้นหาน และ สังหารบิดาตน

อู่ซันเกิง เห็น จางเหลียง คลุ้มๆ คลั่งๆ  เสนอหน้าโดยไร้เหตุผล  สร้างความสงสัยยิ่ง กล่าวเบาๆว่า 

"น้องชาย เจ้าไฉนคิดช่วยเรา ?"

"รวบรัดยิ่ง พบเห็นเรื่องอยุติธรรม ชักดาบเข้าช่วยเหลือ"



Wikipedia

ผลการค้นหา